วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

Review <เห่ออ>> Sleek EyeShadow


สวัสดีค่ะ เพื่อนๆชาวบล็อกทุกคน
 
   เนื่องจากวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสแต่งหน้าไปงานบายเนียร์ ก็เลยต้องตะลอนหาเครื่องสำอางค์เอาซะยกใหญ่ ไปๆมาๆเลยตัดสินใจสอย EyeShadow ยี่ห้อ Sleek มาซะงั้น 😆 

   Sleekเป็นแบรนด์ที่ผลิตเครื่องสำอางค์ที่โอเคมาก เม็ดสีเข้มข้นเชียว ราคาก็พอรับไหว แบบไม่แพงมาก

   ราคาปกติUKจะอยู่ที่ประมาณ$9.99 💰แต่ราคาค่าห้ิวในไทยนี่จะแล้วแต่บางร้านนะคะ น่าจะประมาณ 450-700บาท 💸

   เกริ่นพอแล้ว มาชมกันเลยดีกว่าค่า (ขออภัยรูปอาจจะไม่ค่อยชัดนะคะ เนื่องจากถ่ายจากกล้องโทรศัพท์ ☺)

อันนี่รุ่น Oh So Special 658 Paletteนะคะ


    ตัวกล่องเรียบดูดีและแน่นหนา ไม่ก๊องแก๊งเลยค่ะ 


อันนี้เป็นตัวสีด้านในนะคะ ก็จะมีแผ่นพลาสติกบอกชื่อสีชัดเจน

 พาเลทนี้จะประกอบไปด้วยอายแชโดว 12 สีนะคะ เยอะทีเดียวค่ะ จะแบ่งเป็นชิมเมอร์ทั้งหมด5สีและด้าน7สีนะคะ มีชื่อสีดังนี้ค่ะ

แถวบน จากซ้าย-ขวา : BOW  ORGANZA  RIBBON  GIFTBASKET  GLITZ  CELEBRATE  


สังเกตได้เลยว่าเม็ดสีชิมเมอร์ค่อนข้างแน่น ทั้งหมดปาดแค่รอบเดียวนะคะ ชิมเมอร์ละเอียดและสวยมากเลยค่ะ 😊 แต่สีอ่อนและเนื้อด้านแอบมองไม่ค่อยเห็นนิดนึง 

ส่วนแถวล่าง จากซ้าย-ขวา : PAMPER  GATEAU  THE MAIL  BOXED  WRAPPEDUP  NOIR 


ด้านล่างจะมีชิมเมอร์แค่สีเดียวนะคะ สีจะเข้มกว่าด้านบน แต่สีแรกก็ยังคงอ่อน มองไม่ค่อยเห็นเหมือนเดิม 

สิ่งที่ปลื้มมาก : เม็ดสีแน่นดี สีชิมเมอร์ละเอียดและสวยมาก ชอบทุกสีเลย ราคาน่าคบและคุ้มค่า แปรงจิกเนื้อสีีดี โทนสีค่อนข้างจะใช้ได้แทบทุกงานเลย 

สิ่งที่ไม่ค่อยปลื้ม : สีด้านจะค่อนข้างอ่อนไปหน่อย (ยกเว้นสีพวกดำและน้ำตาลนะคะ อันนั้นเข้มมาก)
เนื่องจากตัวแพกเกจเป็นสีดำสนิทเวลามีพวกแป้งหรือสีอายแชโดวร่วงลงไปอาจจะดูไม่ค่อยสะอาด และท่าจะให้ดีอนากให้เพิ่มแปรงมาให้อีกซักอัน 555 

คะแนน 8/10❤❤

สรุปแล้ว พาเลทนี้ค่อนข้างคุ้มค่ามากเลยทีเดียว เม็ดสีสวยและราคาน่าคบหาเลย ใครอยากหา EyeShadow ที่ราคาไม่สูงมากแต่คุณภาพเยี่ยม ก็ทดลองซื้อมาใช้ได้เลยนะคะ 

ขอบคุณที่เสียสละเวลาเข้ามารับชมนะคะ ปล.โอกาสหน้าอาจจะมีการ HOW TO แต่งหน้าด้วยพาเลตนี้ก็ได้น้าา 👍👍

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปฐมบทจุดเริ่มต้นของความฝัน

                  เหนื่อย... ทุกคนคงเคยผ่านคำๆนี้มาแล้ว และแม้แต่ตัวของฉันเองก็ไม่อาจจะหลีกหนีคำนี้ได้

                 สวัสดีชาวบล็อกเกอร์ ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนเลย เราชื่อว่า"หญิง" อายุ "20" ปีแล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ที่ "สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น"  ชั้นปีที่ 2 และกำลังจะจบในเดือนนี้
                 ความคิดทีี่อยากจะเล่น Blogger ก็เพราะ Blogger ก็คล้ายกับไดอารี่ละมั้ง  บางคนถามว่า แล้วทำไมไม่ไปเขียนไดอารี่แทนล่ะ คงจะเป็นเพราะเหงาล่ะมั้ง บางที่เรื่องบางเรื่องเราก็อยากจะแชร์ความรู้สึกให้กับคนที่เราไม่รู้จัก ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าได้บ้าง เหมือนกับการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง และบางที เรื่องราวและชีวิตของเราอาจจะช่วยเป็นกำลังใจให้กับใครอีกหลายๆคนที่กำลังรู้สึกเหมือนกันก็ได้ ใครจะไปรู้..
                 เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ช่วงนี้เรารู้สึกท้อแท้กับการเรียนมากเลย แม้ว่าสาขานี้จะเป็นสาขาที่เราชอบมากตั้งแต่ ม.4 พอเราได้เข้ามายืนที่จุดๆนี้จริงๆ เรากลับพบว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยฝันไว้เลย เราไม่ชอบที่จะมานั่งเขียนโค้ด ทำโปรแกรม แต่เราชอบการออกแบบมากกว่า หรือตอนเราเข้ามาเราอาจจะแปลความหมายของเทคโนโลยีมัลติมีเดียผิด เรามีความรู้สึกว่าเราเรียนมา2ปีแล้ว แต่เราไม่สามารถที่จะทำอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเว็บ การเขียนแอพ การทำอาฟเตอร์เอฟเฟ็ค โฟโต้ช็อป อิลาส ถึงแม้ว่าที่สถาบันจะสอน แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันไม่พอ เพราะหนึ่งสัปดาห์มีเรียนแค่ 3 ชั่วโมง แถมใน 1 เทอมต้องเรียนคละกันอีก และถามว่าแล้วอย่างอื่นล่ะเรียนอะไร  วิชาที่เหลือก็เป็นวิชาทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นพวกโค้ดต่างๆเอย ภาษาเอย อินเตอร์เน็ตเอย เป็นต้น จากที่อ่านมาบางคนคิดว่าก็ดีแล้วนี่ จะได้เรียนรู้ไปหลายๆอย่าง เราก็ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า มันจะดีจริงเหรอ ? อย่างวิชาที่เพิ่งเรียนในตอนนี้คือการเขียนแอพแอนดรอยด์ ซึ่งเวลาเรียนน้อยเกินไป สอนแค่พื้นฐานต่างๆ แต่เวลาสั่งงาน สั่งเป็นโปรเจคใหญ่ไปตามกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ ซึ่งสิ่งที่อ.นั้นสอนมันไม่เพียงพอเลยสำหรับการทำ แต่เราก็เข้าใจกับเรื่องเวลามีจำกัด แต่บางที่พอถามคำถามให้อ.อธิบาย กลับได้คำตอบที่ว่า "ไปเปิดgoogleสิ " เห้ออ อีกอย่างบางทีเราก็ไม่ค่อยเข้าใจเวลาอ.สั่งงาน จะต้องสั่งตอนที่จะใกล้สอบและสั่งพร้อมๆกันด้วยนะ
และสิ่งที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่ เวลาไปสัมภาษณ์หาสถานที่ฝึกงาน สิ่งแรกที่เค้าคงจะถามเลยว่าคุณทำอะไรได้บ้าง เราก็คงจะบอกว่าที่มหาลัยสอนอะไรไปบ้าง แล้วเค้าถามว่าคุณถนัดหรือเก่งอะไรที่สุดล่ะ เราก็คงจะตอบยาก ถึงแม้บางวิชาเราจะชอบแต่ก็ไม่ได้หมานความว่าจะเก่ง ตอนเรียนว่าท้อแล้ว แต่ที่ท้อยิ่งกว่าคือตอนเรียนจบและทำงาน อนาคตมันเหมือนจะค่อยๆริบหรี่ลง
ตอนนี้เราพูดได้เต็มปากเลยว่าเราเกียจระบบการศึกษาของประเทศไทย เกลียดทัศนคติ วัดค่าคนด้วยใบปริญญาและเงิน สอบเพื่อผ่านไม่ใช่เพื่อเรียนรู้
                       เพราะอย่างนี้ ถึงทำให้เรามีความคิดอยากจะไปเรียนภาษา และปริญญาตรีที่ต่างประเทศ
แต่อุปสรรคที่โผล่ขึ้นมาขวางก็คือ "เงิน!!" ซึ่งเงินนี่แหละเป็นปัจจัยหลักเลย ที่จะทำให้เราไปไม่ได้ ในเมืาออยากไปจริงๆก็คงต้องลองกู้กับธนาคาร ก็ต้องรอดูอีกทีว่าจะผ่านหรือไม่ผ่านกันต่อไป
             
                       อนาคตของเรา ไม่มีใครจะมากำหนดได้หรอกนอกจากตัวเราเอง ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเปลี่ยนมันหรือเปล่า เท่านั้นเอง จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง สู้ไปพร้อมกันนะ ❤❤

                      ปล. เราไม่ว่าหรอกถ้าใครจะว่า ความคิดนี้มันไร้สาระ ไม่คุ้มค่า เป็นความคิดเด็กๆ เพราะแต่ละคนต่างคิดไม่เหมือนกัน บางทีเรืาองเล็กสำหรับคุณอาจจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับเขาก็ได้

                        แล้วเจอกัน See you ...✋